วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

The Real Banking Crisis

บทความแปล ต้นฉบับบจาก  http://www.zerohedge...ch-higher-resul
 

หากพอเข้าใจภาษาอังกฤษ แนะนำให้อ่านกันต้นฉบับครับ
เห็นภาพเลยว่าปัญหา Banking Sector ที่กำลังเกิดและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจะส่งผลอย่างไรต่อไป

รูปนี้มาจากบทความครับ เขาแสดงให้เห็นว่า มีความกังวลของ ECB เรื่องความมั่นใจของนักลงทุน/ ผู้ฝากเงิน กันธนาคาร ที่จะทำการฝากเงินกับธนาคารในยุโรปต่อไปหรือไม่

โพสต์รูปภาพ

และ มีแนวโน้มจะถอนเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น โดยเฉพาะทองหรือโลหะเงิน หรือไม่

ผู้ฝากเงินในยุโรป กำลังต้องชั่งใจว่าจะฝากเงินกับสถาบันการเงินต่อไป หรือจะถอนเงินไปฝาก/ลงทุน/ซื้อสินทรัพย์ อื่นๆ ที่เสี่ยงน้อยกว่า
ECB ถึงตอนนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ แต่ดูแล้วสถานการณ์กำลังลำบากไปเรื่อยๆ เพราะผู้ฝากเงินกับธนาคารต่างๆ ในยุโรปได้ถอนเงินออกจากบัญชีมากขึ้นเรื่อย
ทำให้สถานการณ์ดูไม่สู้ดีนัก

ธนาคารกลางและรัฐบาลทุกแห่ง จะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันเหตุการณ์การตื่นถอนเงินจากธนาคาร เพราะเพื่อคืนเงินฝากให้ลูกค้า ทำให้ธนาคารอาจต้องขายสินทรัพย์ เงินลงทุน ฯลฯ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่ามูลค่า สินทรัพย์ เงินลงทุน ฯลฯ ที่ถูกบันทึกในบัญชี มีการบันทึกค่าสูงกว่าความเป็นจริงมาก (และนำปัญหาอื่นๆ ตามมา)


ตัวอย่างเช่นวิกฤตการเงินที่ ไอซ์แลนด์ ในปี 2008 ประชาชนแห่ถอนเงินจากธนาคาร Landbanki ซึ่งเป็นธนาคารสัญชาติอังกฤษ
ธนาคารจึงปิดการทำธุรกรรม online ทั้งหมดทำให้ลูกค้าชาวอังกฤษในธนาคารนั้นกว่า 300000 บัญชีไม่สามารถถอนเงินได้
รัฐบาลอังกฤษเลยอายัดทรัพย์ของธนาคาร Landbanki ในอังกฤษเป็นการตอบโต้
ในปี 2008 เงินโครนาของไอซ์แลนด์ เสื่อมค่ากว่า 58% หากเลือกได้คุณคงไม่อยากถือบัญชีเงินฝากสกุลโครน่าแน่ๆ



ไอร์แลนด์ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน ครั้งแรกต้นปี 2009 และครั้งต่อมาปลายปี 2010
และในเดือน พ.ค. 2011 ที่ผ่านมาประชาชนถอนเงินจากระบบเงินฝากไปกว่า 9%
เพราะเหตุการณ์นี้ ECB ต้องช่วยเหลือสภาพคล่องแก่ระบบธนาคารของไอร์แลนด์ไปแล้วกว่า 103 พันล้านยูโร
นอกจากนี้ธนาคารกลางไอร์แลนด์ก็ช่วยเหลือสภาพคล่องอีก 55.7 พันล้านยูโร
ซึ่งยังไม่พอต่อความต้องการของระบบธนาคาร ที่ต้องการเงินเสริมสภาพคล่องอีกกว่า 24 พันล้านยูโร

กรีซก็เช่นเดียวกัน
เม็ดเงินหายไปจากระบบเงินฝากธนาคารของกรีซไปแล้วกว่า 8% ในปีนี้ ซึ่งอัตราเร่งในการถอนเงินเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ค. และ มิ.ย.
เช่นเดียวกับไอร์แลนด์ ECB ต้องช่วยเหลือสภาพคล่องแก่ระบบธนาคารของกรีซไปแล้วกว่า 100 พันล้านยูโรในปี 2010
และอีก 103 พันล้านยูโรในปี 2011 จนถึงขณะนี้




เราไม่มีตัวเลขของสเปน และอิตาลี
แต่เชื่อว่ารัฐบาลของประเทศเหล่านี้ก็กำลังพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้เช่นกัน (บทความ Mr. Weigand ที่ผมโพสท์เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาแสดงว่าระบบธนาคารในอิตาลีเริ่มมีปัญหา)
หากอิตาลีมีปัญหาจะแก้ได้ลำบากกว่ามาก เพราะตัวเลขหนี้ของอิตาลี ขนาด 1.8 ล้านล้านยูโร มีปริมาณมากกว่าหนี้ของกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และ สเปน รวมกัน

ระบบธนาคารของ Italy และ Spain นั้นใหญ่เกินไปที่จะปล่อยให้ล้ม (too big to fail)
ในขณะเดียวกันก็ ใหญ่เกินไปที่จะช่วยได้ (too big to bail-out)
ดังนั้นอนาคตของสหภาพยุโรป จึง ขึ้นอยู่กัับสภาพเศรษฐกิจ และ ความมั่นคงของระบบธนาคารของ Italy และ Spain

ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศเหล่านี้คือต้นเหตุของปัญหาของระบบธนาคารในสหภาพยุโรป
เพราะธนาคารเหล่านี้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่่งเคยถูกพิจารณาว่าไม่มีความเสี่ยง ในปริมาณมาก
ในสถานการณ์ปกติ หากลูกค้าถอนเงินปริมาณมากๆ ธนาคารก็จะขายพันธบัตรที่ถืออยู่ เพื่อนำเงินมาให้แก่ลูกค้าที่ถอนเงินได้
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน พันธบัตรรัฐบาลของประเทศเหล่านี้มีมูลค่าลดลง ปริมาณคนซื้อก็น้อย ปัญหาเหล่านี้ซ้ำเติมทำให้สภาพคล่องธนาคารมีปัญหา
นอกจากนี้การขายพันธบัตรของธนาคารเหล่านี้ ก็ไปซ้ำเติมปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศนั้นๆ ให้เลวร้ายลงไปอีก

จากแบบสอบถามข้างบน ทำให้เชื่อได้ว่าประชาชนในประเทศในยุโรปปัจจุบันจำนวนมากขึ้นเืรื่อยๆ ได้ถอนเงินฝากออกจากระบบธนาคารในประเทศเสี่ยง / ออกจากยุโรป ไปลงทุนในภูมิภาคอื่น / สินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะทอง และ โลหะเงิน
เชื่อว่าการกระทำเช่นนี้จะดำเนินต่อไป และมีมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ ผกผันกับสภาพปัญหาในระบบธนาคาร และ ปัญหาหนี้สาธารณะในประเทศยุโรปที่จะเลวร้ายลง




และเป็นสาเหตุที่จะทำให้ราคาทอง และ โลหะเงิน มีราคาสูงขึ้นต่อไปอีกไกล....


วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Butterfly Effect of US Debt Ceiling Drama

ปาหี่เจรจาเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ..เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว


การเจรจาเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะสหรัฐจบไปตามที่ตลาดคาดหวัง 

ละครน้ำเน่าจบไปท่ามกลางเสียงปรบมือของแฟนละครน้ำเน่า
แต่ท่ามกลางเสียงโห่ของผู้ต้องการชมละครน้ำดี 

นักแสดงหลายคนแสดงสมบทบาทอาจลุ้นออสการ์ปลายปี
ในขณะที่บางคนพลิกบทบาทจากพระเอก กลายเป็นนักแสดงจำอวด
ซึ่งก็ทำผลงานได้ไม่น่าผิดหวังเรียกเสียงฮา จากแฟนๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ

โพสต์รูปภาพ


ละครเรื่องนี้ ต้องนับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเรียก Rating จากคนดูทั่วโลก
ทำเอาเรตติ้งละครเรื่องอื่นๆ จากนานาประเทศทั่วโลกตกลงไป แทบไม่มีคนสนใจติดตามดู

แม้ละครจบไปแล้วตามบท ตามสคริปท์เป๊ะ ไม่มี Surprise
แต่ก็ยังเป็นที่กล่าวถึงของแฟนละคร จากทั่วทุกมุมโลก

คนในสหรัฐเองปรบมือกับฉากจบ ที่สุดท้ายพระเอกที่เพลี่ยงพล้ำมาตลอด ยอมกลืนเลือด กล้ำกลืนและเป็นผู้ได้รับชัยชนะในที่สุด
ตามสูตรสำเร็จของละครน้ำเน่า ที่เป็นที่นิยมของแฟนละครในประเทศนี้

ตรงข้ามกับแฟนละครในต่างประเทศ ที่ส่งเสียงโห่ฮาป่า ตะโกนออกมาว่า "ไอ้คนเถื่อน" "ไอ้พยาธิ" ไม่พอใจกับฉากจบที่สุดท้ายเป็นมวยล้มต้มคนดู
หลอกให้คนดูคาดหวังฉากจบที่น่าเร้าใจ สุดท้ายก็แค่หลอกให้คนดูติดตามเสียเงินซื้อตั๋วต่อ เพื่อรอดูภาค 2


ไม่ว่าละครเรื่องนี้ ฉากนี้จะน้ำเน่าเท่าใดก็ตาม ในความเห็นของผมได้ทิ้งประเด็นให้แฟนละครได้ขบคิดกัน

1. ทำให้คนทั่วโลก (ที่สำคัญคนสหรัฐเองนั่นแหละ) ที่ไม่เคยสนใจความเป็นไปของเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะเคยเชื่อฝังใจว่าเศรษฐกิจมั่นคงแข็งแกร่ง ไม่มีทางมีปัญหา
จากละครน้ำเน่าที่ผ่านไป คนได้ฟังคำโกหก ครั้งแล้วครั้งเล่าของนักการเมือง ได้ฟังพวกนักการเมืองสาวใส้ตัวเองให้กากิน สุดท้ายจึงตระหนักรู้ว่าสหรัฐเองไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ตัวเองคิด

โพสต์รูปภาพ

หากเราถามคนทั่วไป ทั้งในสหรัฐและนอกสหรัฐ ว่าเขามั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐไหม คำตอบส่วนใหญ่ผมยังเชื่อว่าจะตอบว่า ใช่

 
แต่ถ้าเราเปลี่ยนคำถามเพียงซักเล็กน้อย ว่า ตอนนี้เขายังมั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐเต็ม 100% ไหม ผมเชื่อว่าคำตอบจะกลายเป็น ไม่

การตระหนักรู้ในชั่วข้ามสัปดาห์ ของคนทั้งโลก ถึงความไม่มั่นคงของสหรัฐอเมริกา (และ US$) นี่เองที่จะนำผลกระทบกระเทือนต่อความเป็นไปของเศรษฐกิจโลกในช่วงต่อไป

2. ช่างหัว สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งหลายมันเถอะ เพราะคน (ทั่วไป) เขาเลิกสนใจ พวกมันแล้วว่าจะทำอะไร
ดูๆ ไปก็แทบไม่ต่างจาก MTV ที่แจกรางวัล MTV award ทั้งหลาย
ความน่าเชื่อถือสถาบันเหล่านี้ ถึงตอนนี้ตกต่ำกว่า สถาบัน oscar เสียแล้ว (ไม่ฮา)
สิ่งเหล่านี้ ทำให้คนตาสว่าง เลิกเชื่อในสิ่งที่ main stream media (สือกระแสหลัก) พยายามบอกเรา และเริ่มหาความจริงของตนมากขึ้น

ลุงจิม (ปรมาจารย์ด้านการลงทุนในทองคำ) เคยบอกว่า พวกเราโชคดีที่เป็นคน 1% ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และ ถือทองกันไว้
การตื่น ตาสว่างของคนทั้งโลกนี้เองกำลัีงขยายตัวจากคน 1% มากขึ้นเรื่อยๆ เป็น 2..3...4......

ยิ่งคนตาสว่างมากขึ้น ทอง และ โลหะเงิน จะเป็นสินทรัพย์ที่คนเหล่านี้เสาะแสวงหาเพื่อถือครอง ปกป้องความมั่งคั่งของตัวเองมากขึ้น

ดวงดาวจะสะเทือนก็เพราะตรงนี้แหละครับ!!!

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อีก 25 ปีคุณอายุเท่าไหร่.....

ไม่ได้เจตนากวนอวัยวะเบื้องล่างท่านผู้อ่านหรอกนะครับ
แต่อยากให้ลองคิดดูว่าอีก 25 ปีคุณจะอายุเท่าไหร่
ยังจะมีชีวิตอยู่รับมือกับยุคที่ไม่มีน้ำมันให้ใช้ ได้หรือไม่

เพราะข้อมูลจากบล๊อค ของลุง จิม โรเจอร์ (ผู้เคยร่วมก่อตั้ง Quantum Fund ร่วมกับ George Soros) ได้บอกไว้ว่า ปริมาณสำรองน้ำมันของโลกกำลังลดลงเรื่อยๆ ในระดับประมาณ 6% ต่อปี
(หรือเราผ่านยุค Peak Oil ไปแล้วนั่นเอง)

และการลดลงของปริมาณสำรองน้ำมันของโลกนี้เอง เราจะเผชิญกับภาวะน้ำมัน (พลังงาน) แพงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หวังว่ามนุษยชาติจะสามารถหาแหล่งพลังงานทดแทน ที่ราคาไม่สูงมากนักได้โดยเร็วครับ


สนใจตามอ่านบทความของลุงจิม โรเจอร์ ที่บล๊อคแกตามลิงค์ข้างล่างนี้เลย

http://jimrogers-investments.blogspot.com/2011/05/in-25-years-theres-no-oil-at-any-price.html

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

What's next?

ซิโนเปค ยักษ์ใหญ่ของจีนได้ยุติการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั้งหมด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เพียงพอต่อการใช้งานในประเทศ (และกักตุนไว้ใช้เผื่อมีการขาดแคลนในอนาคต)
http://www.energy-daily.com/reports/Chinas_Sinopec_cuts_off_oil_exports_state_media_999.html



ก่อนหน้านี้จีนก็ประกาศจำกัดโควตาการส่งออกธาตุหายาก และเพิ่มภาษีการส่งออกฯ เมื่อปี 2553
http://www.manager.co.th/china/ViewNews.aspx?NewsID=9540000037147


ไม่กี่วันที่ผ่านมาประเทศไทย ก็ประกาศเลิกงดออกไข่ไก่ เพื่อให้ผลผลิตเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ

พลังงาน แร่ธาตุมีอยู่อย่างจำกัด
อาหาร เราอาจผลิตเพิ่มขึ้นใหม่ได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 3-4 เดือนต่อฤดูเก็บเกี่ยว
เศรษฐกิจของโลกพึ่งพากันและกันอย่างแยกกันไม่ออก
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงตาจน ทุกประเทศก็คำนึงถึงประโยชน์ของตัวเองก่อนทั้งนั้น


คาดได้ว่าจะเห็นข่าวแบบนี้มากขึ้น บ่อยขึ้น ในปีนี้ และต่อๆ ไป
จากสินค้าชนิดหนึ่งไปสู่สินค้าอีกชนิดหนึ่ง ที่ดูเผินๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน 

แต่ในความต่าง มีความเหมือนที่น่ากังวลใจซ่อนอยู่
เพราะความเปราะบางของเศรษฐกิจ ความตึงตัวของอุปทาน
การกระทำเล็กๆ น้อยเหล่านี้  คือการค่อยๆ เติมฟืนเข้าไปในกองไฟ



วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

2011 ยุคข้าวยากหมากแพง ตอน 4 ภาคน้ำมัน

น้ำมัน โลหิตสีดำ ที่หล่อเลี้ยงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก นำมาซึ่งวิวัฒนาการ ความก้าวหน้า ความสะดวกสบาย ความมั่งคั่งของโลกในศตวรรษที่ 20  

น้ำมัน โลหิตของปีศาจ ที่ชักนำให้เกิดความขัดแย้ง สงครามในหมู่มนุษยชาติมานับครั้งไม่ถ้วน

คุณเคยลองหยุดคิดซักครั้งไหมว่า ชีวิตของคุณถ้าไม่มีน้ำมันจะเป็นอย่างไร หากไม่เคยลองหยุดคิดดูซักนิดครับ

เพราะเราเคยชินกับการมีชีวิตอยู่โดยพึ่งพิงพลังงานที่มีราคาถูก และมีปริมาณมากให้ใช้อย่างเหลือเฟือ   
 ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคที่พลังงานมีราคาแพง และ หายาก 
หากเราไม่เตรียมพร้อมต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น สุดท้ายสิ่งเดียวที่คุณทำได้อาจเป็นเพียงการร้องไห้คร่ำครวญ

ต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับน้ำมันที่คุณควรทราบ
  • การสำรวจค้นพบบ่อน้ำมันใหม่ๆ ของโลกถึงจุดสูงสุดในช่วงทศวรรษที่ 1960 ในขณะที่ในปัจจุบัน ในแต่ละวัน เราบริโภคน้ำมัน มากกว่า ที่เราค้นพบบ่อน้ำมันและแหล่งผลิตใหม่ถึง 4 เท่า


  • จากการคาดการณ์ของผู้เชียวชาญด้านพลังงานจำนวนมากเชื่อว่าการผลิตน้ำมันของโลกได้มาถึงจุดสูงสุดของกำลังการผลิตแล้ว (Peak Oil)  แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญอีกจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่าเราจะยังไม่ถึง Peak Oil จนกระทั่งปี 2020  ไม่ว่านักวิเคราะห์กลุ่มไหนจะเป็นฝ่ายถูกต้อง นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเรากำลังอยู่บริเวณยอด “ดอยน้ำมัน“



  •  กำลังการผลิตน้ำมันของโลกหากไม่ลดลง ก็คงจะไม่สามารถเพิ่มจากนี้ได้อีกมากนัก



  • ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันของประชากรโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากจีน และ อินเดีย ประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก 





  • ปัจจุบันประเทศซาอุดิอาราเบียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นอันดับ 1 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 24% ของปริมาณการค้าน้ำมันของโลก
  • เชื่อกันว่าประเทศซาอุ ยังมีปริมาณสำรองน้ำมันมากที่สุดในโลก และสามารถผลิตน้ำมันเพื่อรองรับความต้องการน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลกได้อีกหลายปี

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เว็บไซท์ wikileaks ได้เผยแพร่เอกสารลับจากสถานทูตสหรัฐประจำกรุงริยาด แจ้งเตือนรัฐบาลสหรัฐว่า ประเทศซาอุอาจมีปริมาณสำรองน้ำมันที่จะผลิตเข้าสู่ตลาดไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นได้ และยังได้กล่าวอีกว่า ตัวเลขปริมาณสำรองน้ำมันที่ประเทศซาอุอ้างว่าตัวเองมีอยู่ อาจเป็นการกล่าวเกินจริงถึง 40%

หมายความว่า ความหวังที่นานาประเทศฝากให้ซาอุ และ กลุ่มโอเปค ช่วยประคับประคองไม่ให้ราคาน้ำมันขึ้นสูงเกินไปจากสภาวะน้ำมันแพงที่ประชากรโลกกำลังประสบอยู่ตอนนี้ จะไม่สำเร็จผล

*******

นอกจากเหตุผลด้านความตึงตัวของอุปสงค์อุปทาน ที่มีผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นในขณะนี้แล้ว อีกสาเหตุหลักที่ทำให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้นคือการอ่อนค่าของเงิน US$ กราฟต่อไปนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาน้ำมันกับค่าเงิน US$ เมื่อ US$ แข็งค่า น้ำมันจะถูกลง และในทางตรงกันข้าม เมื่อ US$ อ่อนค่า น้ำมันจะแพง


จากบทความก่อนหน้า คุณคงทราบแล้วว่าค่าเงิน US$ กำลังอยู่ปริ่มขอบเหว ที่จะอ่อนค่าลงอย่างมาก และ รวดเร็ว ดังนั้นเราสามารถคาดการณ์ได้ว่า ราคาน้ำมันจะขึ้นสูงไปอีกมาก เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น

******

ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่มีการผลิต และ ส่งออกน้ำมันมากที่สุดของโลกในปัจจุบัน

โครงสร้างประชากรที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก ทำให้มีปัญหาความว่างงานในประเทศต่างๆ มีอัตราสูง ทำให้เกิดการประท้วง จลาจล นำไปสู่ ความไม่มีเสถียรภาพของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง 

ปัญหาดังกล่าวมีผลกระทบต่อกำลังการผลิต และ ปริมาณส่งออกของน้ำมันจากประเทศตะวันออกกลาง จากปัญหาในประเทศลิเบีย กระทบต่อปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบทั้งหมดของประเทศลิเบียทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นกว่า 20 US$ ต่อบาเรล

มีความพยายามก่อการประท้วงในประเทศซาอุดิอาราเบียแล้วหลายระลอก เป็นผลให้กษัตริย์อับบุลลาห์แห่งซาอุดิอาราเบียต้องอัดฉีดเงินกว่า 125000 ล้าน US$ เพื่อเสริมสร้างสวัสดิการต่างๆ ของประชาชนชาวซาอุ และทำให้สถานการณ์ควบคุมอยู่ได้ในปัจจุบัน ผลของการอัดฉีดดังกล่าว ทำให้ต้นทุนการผลิตน้ำมันของซาอุปัจจุบันอยู่ที่ 88  US$ ต่อบาเรล

แต่ การเคลื่อนไหวในประเทศซาอุยังไม่ยุติ  เพียงแต่รอเวลาให้สถานการณ์สุกงอมเท่านั้น
“The main threat is . . . Saudi instability when the current king dies. We know he is very ill but obviously there is no indication of how critical that condition is. But it is acknowledged that the next transition will present a much bigger threat to internal stability. . . . Vested interest groups have been waiting for this transition to push their agenda. Saudi experienced considerable regional instability up to 10 years ago but bought it off with higher oil-based spending. Today the problem is as bad, if not worse. There have been only a few of the promised reforms. . . . Resentment towards the wealth gap with the royals is very high. . . . Even if/when the instability in other countries, such as Libya, settles, the Saudi succession threat is now firmly on the table. What happens in Bahrain could be very key. That alone will keep the oil market nervous for this year.”  

หากการประท้วงและจลาจลในประเทศซาอุถูกจุดติด ปริมาณ supply น้ำมันของโลกจะถูกกระทบอย่างหนัก นอกจากราคาน้ำมันที่จะแพงสูงขึ้นมากแล้ว สิ่งที่เราอาจจะต้องเจอก็คือ สภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย


อ้างอิง

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

World bank said "We're Just ‘One Shock’ From Crisis "

ประธานธนาคารโลกนาย Robert Zoellick ได้ออกมาเตือนว่า เนื่องจากปัญหาราคาอาหารที่แพงขึ้น และสถานการณ์ stock อาหารที่ลดต่ำลงในปัจจุบัน ทำให้โลกกำลังอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงต่อการขาดแคลนอาหาร  เราอยู่ห่างจากวิกฤตนั้นเพียงอีก 1 วิกฤตทางปรากฏการณ์ธรรมชาติเท่านั้น

“You have one other weather event in some of these areas and you really take a danger zone and start to push people over the edge.”


http://www.bloomberg.com/news/2011-04-16/zoellick-says-world-economy-one-shock-away-from-food-crisis-1-.html

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

ญี่ปุ่นอาจต้องเพิ่มการนำเข้าข้าวอีกหนึ่งเท่าตัวในปีนี้

 ผลจากเหตุการณ์ซึนามิ และ อุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ กระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกข้าว ในเขต Fukushima และใกล้เคียงได้แก่ Ibaraki, Miyagi, Iwate
อาจส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องนำเข้าข้าวเพิ่มจาก 8 ล้านตัน เป็น 15 ล้านตันในปีนี้

http://www.bloomberg.com/news/2011-04-12/japan-rice-buying-may-outstrip-supply-on-hoarding-marubeni-s-shibata-says.html




การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่รุนแรงขึ้นในปีนี้ กำลังส่งผลกระทบต่อ ความสามารถในการผลิตอาหารของโลก ปริมาณ stock ที่มีอยู่กำลังถูกใช้ให้ร่อยหรอลงไป และสำหรับธัญพืชหลายชนิด stock กำลังลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี

จากระดับ stock ของอาหารที่กำลังลดต่ำลง เราจะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นต่อผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่อาจเกิดขึ้น
และสุดท้ายอาจส่งผลรุนแรงถึงการขาดแคลนอาหารบางชนิดได้